<h3>เมื่อวันที่ 7 มี.ค. เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. … ในวาระ2 วาระ3 ต่อจากเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา</h3> <!--more--> <h3>โดยนายสนิท อักษรแก้ว ประธานกรรมาธิการฯ ชี้แจงในมาตรา 63 ถึงความจำเป็นที่ต้องบัญญัติกรอบมติคณะรัฐมนตรี ปี 2541 และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 66/2557 ไว้ในกฎหมาย เพราเป็นการวางกรอบเวลาของกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผู้ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติ ได้รับความเดือดร้อน และไม่มีความจำเป็นต้องใส่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2561</h3> <h3>เนื่องจาก มติคณะรัฐมนตรีปี 2541 ถือว่าครอบคลุมแล้ว ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่มีวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติมากกว่า 60 ปี ไม่มีความสุขสบาย ไม่ได้รับความสะดวก กฎหมายนี้จะช่วยให้ทุกอย่างถูกต้อง ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างความสมดุลระหว่างการอยู่ของชุมชนในอุทยานแห่งชาติและทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่ง</h3> <h3>ด้าน นายวีระยุทธ วรรณเลิศสกุล ผู้อำนวยการส่วนจัดการที่ดินและชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ในฐานะกรรมาธิการ ชี้แจงว่า ไม่จำเป็นต้องบัญญัติมติครม.เมื่อวันที่ 26 พ.ย.61 เพราะมติดังกล่าวเป็นมติรองรับความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่เห็นชอบให้ราษฎรอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวมทั้ง กรอบเวลาที่ใช้เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 63 ซึ่งมีความชัดเจนและครอบคลุมแล้ว และมติครม.ดังกล่าวนี้เป็นมติ ครม.รวมที่เกี่ยวกับป่าไม้ทั้ง 5 พื้นที่</h3> <h3>ขณะที่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสนช. อภิปรายว่า มติคณะรัฐมนตรีปี 2541 จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ และหากนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2561 ใส่ไว้ในกฎหมายอาจทำให้เกิดความขัดข้องและกระทบต่อชาวบ้าน</h3> <h3>แต่สามารถนำไปบัญญัติไว้ในข้อสังเกต เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้ ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ รวมทั้งการบัญญัติให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะผลประโยชน์จะถึงชาวบ้านอย่างแท้จริง</h3> <h3>อย่างไรก็ตามในที่สุดแล้วที่ประชุมได้มีมติเห็นควรให้แก้ไขตามกรรมาธิการเสียงข้างมากในวรรคสามของมาตรา 63 นอกจากนี้สนช.ได้แสดงความเป็นห่วงว่าร่างกฎหมายนี้จะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่หาของป่า เก็บเห็ดแล้วถูกจับกุมดำเนินคดีจำนวนมาก รวมทั้งยังมีสัตว์ที่ชาวบ้าน ชนเผ่าหรือชนพื้นเมืองที่เลี้ยงเป็นสัตว์ปล่อย เพราะไม่มีทุ่งหญ้าอยู่บริเวณบ้านจึงปล่อยเข้าป่า แล้วไปตามจับ จะเป็นปัญหาหรือไม่</h3> <h3>พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ สนช. อภิปรายแสดงความสงสัยในมาตรา 64 ถึงคำว่าประเภทและชนิดของทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ในอุทยานแห่งชาติ ที่ได้ประกาศกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาก่อนวันที่พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ คืออะไรบ้าง อยากให้มีบัญชีแนบท้ายสัตว์และพืชให้ชัดเจน</h3> <h3>ด้านนายชลธร ชำนาญคิด ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ ในฐานะกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่าร่างพรบ.มาตรา 64 นี้ ประเด็นสำคัญคือการแก้ไขปัญหากรณีที่ประชาชนเข้ามาเก็บหาพึ่งพิงทรัพยากรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงพื้นบ้าน การเก็บหาของป่าบางอย่าง เช่นหน่อไม้ เห็ด หรือสวนไผ่ นั้น จะมีการทำการศึกษาแบ่งโซนสำรวจโดยใช้เงื่อนไขเวลา 240 วันตามวรรคหนึ่งที่กำหนดไว้ เพื่อดูว่าพื้นที่อุทยานแห่งชาติแห่งใดที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีไว้ก่อนแล้ว พื้นที่ตรงไหนบ้างที่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 64 นี้</h3> <h3>โดยจะศึกษาความเหมาะสมว่ามีทรัพยากรใดบ้างที่จำเป็นให้ใช้ประโยชน์ และถ้าใช้ไปแล้ว ก็ต้องส่งเสริมฟื้นฟู และสำหรับในส่วนทรัพยากรที่ทดแทนได้ เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาต่อในการที่จะอนุญาตให้มีการเก็บหาของป่า หรือพึ่งพิง ซึ่งทั้งหมดจะต้องจัดทำแนวเขต โดยเป็นหน้าที่ของนักวิชาการที่จะต้องศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในกรอบเวลาดังกล่าว</h3> <h3>ภายหลังการชี้แจง สนช.ไม่ติดใจ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ด้วยคะแนน140 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง7 เห็นสมควรประกาศใช้ร่างพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. เป็นกฎหมาย และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ จากนั้น จะจัดส่งให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป</h3> <h3>ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ มีการกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิด โดยกรรมาธิการฯและสนช.เห็นชอบ ตามมาตรา 42 ที่ระบุว่าผู้ใดเก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ปิโตเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น</h3> <h3>หรือกระทำการอื่นใดอันส่งผลต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤษศาตร์ หรือสวนรุกขชาติ อันเป็นการฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ</h3> <h3>ส่วนความผิดหากเป็นการกระทำแก่ธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามฤดูกาล และมีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 2,000 บาท ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท ส่วนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาแก่ไม้ ที่เป็นต้น</h3> <h3>หรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกิน 20 ต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาณไม้เกิน 4 ลูกบาศก์เมตร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 4แสนบาทถึง 2 ล้านบาท</h3> <h3>ที่มา:<a href="https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2284259">ข่าวสด</a></h3>