<h3>รายงานข่าวจากการปะชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ชุดที่ 20 (บอร์ดค่าจ้าง) ที่มีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมนั้น ที่ประชุมไม่มีวาระการพิจารณาการปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำแต่อย่างไร</h3> <h3><!--more--></h3> <h3>มีเพียงเรื่องเพื่อทราบ ที่เป็นการรายงานสถานการณ์ทางเศษฐกิจและแรงงาน ผลการตรวจแรงงาน เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ข้อมูลจำนวนผู้สมัครงาน ตำแหน่งงานว่าง การบรรจุงาน และสำเนาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ส่วนเรื่องเพื่อพิจารณา จะเป็นการเสนอชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมและเลือกกันเองเป็นผู้แทนฝ้ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน ภาค 3 ภาค 4 ภาค 5 และภาค 9 เท่านั้น</h3> <h3>แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงาน เปิดเผยกับประชาชาติธุรกิจว่า การที่บอร์ดค่าจ้างกลางยังไม่มีการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องมาจากภาวะทางด้านเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศที่อยู่ในช่วงชะลอตัว กรอปกับค่าครองชีพในปัจจุบันยังอยู่ในอัตราที่สูงมาก หากมีปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอีก คาดว่าจะส่งผลกระทบวงกว้าง ทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อลูกจ้าง นายจ้าง และเศรษฐกิจในภาพรวม</h3> <h3>แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขที่คณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการได้พิจารณา และมีมติเสนอบอร์ดค่าจ้างให้ปรับขึ้นค่าจ้างในอัตรา 2-10 บาท/ วันนั้น ยังคงไว้สำหรับการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งตรงนี้อาจจะใช้ระยะเวลาในอีก 1-2 เดือนในการวิเคราะห์ หารือจากคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อหาข้อยุติ ส่วนการประชุมบอร์ดค่าจ้างกลางในครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 2562 นี้</h3> <h3>ด้าน “ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ” ผู้อำนวยการสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาคณะกรรมการค่าจ้าง (ด้านเศรษฐศาสตร์) ให้ความเห็นว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งจากปัจจัยทางด้านเศษฐกิจ ค่าครองชีพ รวมถึงหลักเกณฑ์ของบอร์ดค่าจ้างในการพิจารณาขึ้นค่าจ้างจำนวน 10 ตัวชี้วัด เข้ามาพิจารณาเป็นองค์ประกอบ</h3> <h3>“แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีนโยบายของพรรคการเมืองที่จะให้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าต้องนำเอาข้อมูล หลักเกณฑ์ ตลอดจนองค์ประกอบต่างๆ มาเป็นแกนหลักในการพิจารณา มากกว่าจะนำเอาสิ่งที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้เป็นตัวตั้ง แต่หากจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อนายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนระบบเศรษฐกิขของประเทศก่อน”</h3> <h3>“อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดทันทีเป็น 400 บาท แต่อาจจะทยอยปรับแบบค่อยไป ค่อยไปตามขั้นบันไดจนไปถึง 400 ซึ่งต้องวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ แล้วนำมาประกอบการพิจารณากำหนดขั้นความถี่ หรือระยะห่างของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่จะปรับขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในภาพรวม”</h3> <h3>“ขณะเดียวกัน หากพิจารณาถึงตัวเลขที่อนุกรรมการวิชาได้เสนอมายังบอร์ดค่าจ้างกลางในรอบที่ผ่านมา ในถือเป็นตัวเลขเดิมที่อนุกรรมการค่าจังหวัดได้พิจารณากลั่นกรองและเสนอมา ซึ่งหากจะใช้ตัวเลขดังกล่าวว่าจะไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางด้านเศษฐกิจของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งในตอนนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดชุดใหม่เข้ามา ผมมองว่าต้องให้โอกาสคณะกรรมการชุดใหม่ทำงานด้วย”</h3> <h3>ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรอบบัญชีที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2561 มีทั้งหมด 7 อัตรา ตั้งแต่ 8-22 บาท</h3> <h3>โดย 3 จังหวัดปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดเป็น 330 บาท/วัน ได้แก่ ภูเก็ต, ชลบุรี และระยอง ปรับขึ้นเป็น 325 บาท 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา</h3> <h3>ปรับเป็น 320 บาท 14 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี, สุพรรณบุรี, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา, หนองคาย, ลพบุรี, ตราด, ขอนแก่น, สงขลา, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, เชียงใหม่, นครราชสีมา และพังงา</h3> <h3>ส่วนจังหวัดที่ปรับขึ้นต่ำสุดที่ 308 บาท ได้แก่ นราธิวาส, ยะลา และปัตตานี เฉลี่ยรวมอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศอยู่ที่ 315.97 บาท</h3> <h3>ที่มา <a href="https://www.prachachat.net/csr-hr/news-359250">ประชาชาติ</a></h3>