<h3>ธ.ก.ส.ลุยแก้หนี้เกษตรกรช่วงพักชำระเงินต้น 3 ปี งัดกลยุทธ์เคาะประตูบ้านเกษตรกรรายตัว เตรียมจำแนกเกษตรกรออกเป็น 5 กลุ่ม ชี้กลุ่มมีปัญหาจะขยายเวลาชำระสูงสุด 20 ปี พร้อมตัดหนี้สูญให้กลุ่มสูงอายุ-ไม่มีทายาท-ทำการเกษตรไม่ไหว ตั้งเป้าคุมเอ็นพีแอลทั้งปีไม่เกิน 4%</h3> <!--more--> <h3>นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ในปีบัญชี 2562 (เม.ย. 62-มี.ค. 63) นี้ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ 2 ของมาตรการขยายเวลาชำระหนี้เงินต้นเกษตรกร (พักหนี้ 3 ปี) โดยธนาคารได้เตรียมแผนจัดการหนี้ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับลูกหนี้ของธนาคาร โดยเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ 2.9 ล้านราย ทั้งนี้ ได้เข้าคณะกรรมการ (บอร์ด) ธ.ก.ส.แล้ว ซึ่งในช่วง 1 ปีนี้จะส่งพนักงานทุกสาขาลงพื้นที่ไปพบเกษตรกรเป็นรายคน</h3> <img class=" wp-image-11828 aligncenter" src="https://katipnews.com/wp-content/uploads/2019/05/11-1ธกส-728x485-400x266.jpg" alt="" width="605" height="402" /> <h3>“ปีนี้เป็นปีที่ยังอยู่ในช่วงขยายเวลาพักชำระหนี้ต้นเงิน ดังนั้น ช่วงปีนี้เราจะไปพบเกษตรกรทุกราย โดยใช้ข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พนักงานนำไปพบเกษตรกร แล้วดูแต่ละรายมีปัญหาตรงไหน หนี้สินที่ขยายเวลาไป 3 ปีต้องจัดการเพิ่มไหม ซึ่งบอร์ดได้อนุมัติแผนการจัดการหนี้แล้ว โดยลูกหนี้ทุกรายจะต้องถูกสอบทานเรื่องความสามารถในการผลิต และเราตั้งใจว่าเมื่อลูกหนี้ 2.91 ล้านราย ออกจากโครงการหลังครบ 3 ปีแล้ว จะต้องออกไปแบบที่มีภาระหนี้สอดคล้องกับรายได้ทุกราย” นายอภิรมย์กล่าว</h3> <h3>ทั้งนี้ ในปีบัญชี 2562 นี้ ธ.ก.ส.ตั้งเป้าหมายควบคุมสัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้ไม่เกิน 4% ของสินเชื่อรวม จากสิ้นปีบัญชี 2561 มีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3.87% ลดลงจากปีบัญชี 2560 ที่มีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3.34%</h3> <h3>นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ปีนี้ ธ.ก.ส.ตั้งเป้าคุมเอ็นพีแอลไม่ให้เกิน 4% โดยจะเข้าไปดูเกษตรกรลูกค้าทุกรายที่มีกว่า 4 ล้านรายว่าทำการผลิตอะไรอยู่บ้างและมีหนี้เท่าใด จากนั้นจะจัดกลุ่มลูกค้าออกเป็น 5 กลุ่มเพื่อจำแนกวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่ทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อมีรายได้เพิ่มก็จะมีการชำระหนี้ เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่มีวินัยชำระหนี้ดีอยู่แล้ว</h3> <h3>“จะมีการขยายหนี้ให้เพิ่มเติมในบางกลุ่มที่มีปัญหา และจะดูว่าต้นทุนการผลิตแต่ละรายสูง หากสูงก็จะช่วยลดให้ รวมถึงดูว่า ประสิทธิภาพการผลิตต่ำหรือไม่ หากต่ำจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดูแลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ โดยหาวิธีเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น เพื่อทำให้เกษตรกรแต่ละรายมีรายได้มากขึ้น มีกำไร และสามารถชำระหนี้ได้” นายศรายุทธกล่าว</h3> <h3>สำหรับการจัดกลุ่มเกษตรกรออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มที่ยังทำกินปกติ ไม่มีปัญหาในการชำระหนี้ โดยกลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไร 2) กลุ่มที่มีปัญหาแต่ไม่มาก เช่น ต้นทุนการผลิตอาจจะสูงเล็กน้อย หรือผลผลิตต่ำเล็กน้อย ก็จะมีการเข้าไปแนะนำบางส่วน 3) กลุ่มที่ต้นทุนการผลิตสูง และผลผลิตต่ำมาก ซึ่งจะไม่มีกำไรจากผลผลิตเลย ดังนั้น กลุ่มนี้จะได้รับการขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปอีก 10 ปี เพื่อให้มีเวลาพลิกฟื้น</h3> <h3>4) กลุ่มที่มีปัญหารุนแรง เช่น ทำการผลิตได้ลดลง ผลผลิตน้อยมาก และมีหนี้นอกระบบด้วย กลุ่มนี้จะได้รับการขยายระยะเวลาชำระหนี้อีก 20 ปี รวมถึงมีการฟื้นฟูอาชีพ และ 5) กลุ่มสุดท้ายทำกินไม่ไหว สูงอายุ หรือทุพพลภาพ ไม่มีทายาท ไม่มีความสามารถชำระหนี้ กลุ่มนี้จะตัดหนี้สูญ (ไรต์ออฟ) ให้</h3> <h3>“กลุ่มที่ต้องตัดหนี้สูญ ประเมินว่ามีไม่มาก แต่เราต้องช่วย เนื่องจากเราเป็นธนาคารของรัฐ ถ้าเกษตรกรมีเหตุที่สุจริตจริง ๆ ก็ต้องให้ โดยทั้งหมดนี้จะลงไปดูในปีนี้เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละกลุ่มมีกี่ราย ซึ่งแนวทางเหล่านี้บอร์ดมีมติอนุมัติแล้วไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะธนาคารดำเนินการเอง ซึ่งจะสำรวจให้เสร็จทั้งหมดใน 1 ปีนี้ แต่ระหว่างนั้นก็จะทำคู่ขนานไปด้วยในรายที่สำรวจเสร็จแล้ว” นายศรายุทธกล่าว</h3> <h3>ที่มา ประชาชาติ</h3>