<h3>การจัดทำร่างนโยบาย “รัฐบาลใหม่” ภายใต้พรรคร่วมรัฐบาล 19 พรรค ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะแถลงต่อรัฐสภา ภายหลัง 15 วัน นับจากการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง-ปฏิบัติหน้าที่ ต้อง “ชิงไหวชิงพริบ” ตั้งแต่ตัวอักษรแรกของ “ชื่อนโยบาย” เพื่อให้ “คนจดจำ” ไปถึงพรรคการเมืองเจ้าตำหรับ-แต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า…เร็วกว่าที่คาด</h3> <h3><!--more--></h3> <h3>“อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) – พรรคแกนนำรัฐบาล โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก “ดร.อุตตม สาวนายน” ว่า “นโยบาย สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อปากท้องพี่น้องประชาชนต้องเร่งทำก่อน”</h3> <h3>พลังประชารัฐเตรียมนัดตัว “พรรคร่วม” หารือเรื่องการเขียนนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดได้ส่งนโยบายของพรรคมาที่พลังประชารัฐแล้ว</h3> <h3 style="text-align: center;"><span style="color: #ff0000;">พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์ชิงธงประกันราคาข้าว</span></h3> <h3>โดยพรรคประชาธิปัตย์เตรียมส่ง “3 ว่าที่รัฐมนตรี” 1.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค-ว่าที่รมว.เกษตรและสหกรณ์ 2.นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค-ว่าที่รมช.มหาดไทย และ 3.นายจุติ ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการพรรค-ว่าที่รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์</h3> <h3>“นโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่เราคิดว่าจะสามารถทำได้ทันที มี 3 นโยบาย ที่เราจะเสนอต่อที่ประชุม ได้แก่ 1.นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นโยบายนี้ขึ้นกับกระทรวงการคลัง 2.นโยบายพักหนี้เกษตรกร 3.นโยบายมารดาประชารัฐ ถือเป็นนโยบายหลักของพรรค ส่วนนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย คงเป็นหน้าที่ของ รมว.สาธารณสุข” นายอุตตมกล่าว</h3> <h3>“ส่วนนโยบายที่ผมมองว่า จะต้องพูดคุยกันอย่างรอบคอบ คือ นโยบายเรื่องการเกษตร จากเดิมที่พรรคพลังประชารัฐเสนอให้ราคาข้าวเปลือกเจ้า ต้องได้รับเกิน 10,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิต้องได้เกิน 15,000 บาทต่อตัน และเพิ่มค่าเก็บเกี่ยวจากไร่ละ 1,500 บาท เป็น 2,000 บาท ซึ่งนโยบายนี้เป็นงบที่ผูกพันและต้องคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า เห็นด้วยกับแนวทางนี้หรือไม่ หากไม่เห็นด้วยก็ต้องมาประสานหาข้อสรุปร่วมกัน เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้”</h3> <h3 style="text-align: center;"><span style="color: #ff0000;">มารดาประชารัฐ ทำทันที</span></h3> <h3>พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กุมความได้เปรียบเพราะเป็น “คนถือเงิน” โดยกระทรวงการคลัง เคยให้ “สัญญาประชาคม” ไว้ว่าจะ “ทำทันที” อาทิ “มารดาประชารัฐ” ตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท รวมสูงสุด 27,000 บาท ค่าคลอด 10,000 บาท ค่าดูแลเด็ก เดือนละ 2,000 บาทจนครบ 6 ขวบ รวม 144,000 บาท รวมทั้งสิ้น 181,000 บาทต่อเด็ก 1 คน</h3> <h3>ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แม้โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะอยู่กับ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคแกนหลัก-พลังประชารัฐ แต่ยัง “กุมความได้เปรียบ” เพราะกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มี “จุติ ไกรฤกษ์” เป็น “เจ้ากระทรวง”</h3> <h3>ภายใต้นโยบายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด หรือ “เกิดปั๊บ รับสิทธิ์เงินแสน” จำนวน 17,832 ล้านบาทต่อปี ค่าคลอด 5,000 บาท ค่าเลี้ยงดู 1,000 บาทต่อเดือนจนถึง 8 ขวบ</h3> <h3><span style="color: #0000ff;">ยกเครื่องบัตรคนคนจน เพิ่มเป็น 800 บาท/เดือน</span></h3> <h3>ขณะที่นโยบาย “สร้างชื่อ” ของพลังประชารัฐ อย่าง “บัตรคนจน” ถึงแม้ว่ายังคงได้รับการต่อยอดทั้งชื่อ-เสียงจากกระทรวงการคลัง แต่การลงลึกในเส้นสาย-รายละเอียดยัง “ต้องสู้กันหนัก”</h3> <h3>เพราะประชาธิปัตย์เตรียม “ยกเครื่อง” เบี้ยผู้ยากไร้ (บัตรคนจน) โดยโอน “เงินสด” เข้าบัญชีเพิ่มขึ้นรายละ 800 บาทต่อเดือน จำนวน 14.47 ล้านคน วงเงิน 68,794 ล้านบาทต่อปี</h3> <h3>นโยบายที่ทำทันที-แน่นอน คือ นโยบายเกษตรกร-สินค้าเกษตร ที่ต้องถกกันอีกหลายยก ตั้งแต่ “ชื่อ-กระบวนท่า-เม็ดเงิน” เพราะพลังประชารัฐ ภายใต้นโยบาย “เกษตรยั่งยืน” แต่พรรคประชาธิปัตย์-เจ้าของตำหรับ “ประกันรายได้” ถือไพ่เหนือกว่าเพราะกุมบังเหียนทั้งกระทรวงเกษตรฯ-กระทรวงพาณิชย์ ประกันรายได้พืชผลเกษตร 100,000 ล้านบาทต่อปี</h3> <h3 style="text-align: center;"><span style="color: #ff0000;">ภูมิใจไทย ร่วมวง “แบ่งปันกำไร-profit sharing”</span></h3> <h3>มิหน้ำซ้ำของมีนโยบาย “เหนือเมฆ” ของพรรคภูมิใจไทย “แบ่งปันกำไร-profit sharing” เช่น ข้าว 70% : 15% : 15% ชาวนาได้เงิน 70% ข้าวขาว 7,900 + 800 = 8,700 หอมมะลิ 18,000 + 1,500 = 19,500 ราคาข้าวปี 2561 + ส่วนแบ่งกำไรจากกองทุนข้าว ปาล์มทะลาย กิโลกรัมละ 5 บาท ที่ร่วม “แชร์แต้ม-ขอส่วนแบ่ง”ในการเลือกตั้งครั้งหน้า</h3> <h3>ไม่นับนโยบายประกันรายได้-ค่าแรงขั้นต่ำ ที่พลังประชารัฐ เกทับ-บลัพแหลก 400-425 บาทต่อวัน อาชีวะ 18,000 บาทต่อเดือน ปริญญาตรี 20,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ประชาธิปัตย์-ประกันรายได้แรงงานขั้นต่ำ แม้จะ “เก๋าเกม” ไม่เปิดหน้าชก แต่ไฟท์บังคับให้เปิดตัวเลขกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี</h3> <h3>รวมถึงนโยบาย “อัดฉีดเศรษฐกิจ” ทุกหย่อมหญ้า ภายใต้แพ็กเกจ “แก้จน สร้างคน สร้างชาติ” รวมเบ็ดเสร็จกว่า 392,015 ล้านบาทต่อปี อาทิ</h3> <h3>เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนละ 1,000 บาทต่อเดือน จำนวน 37,302 ล้านบาทต่อปี เบี้ยคนพิการ คนละ 1,000 บาทต่อเดือน วงเงิน 5,000 ล้านบาทต่อปี</h3> <h3>เพิ่มค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 739 ล้านบาทต่อปี โดยมีพรรคภูมิใจ “ขอแจม” ยกระดับ อสม. เป็นหมอประจำบ้าน ได้ค่าตอบแทน 2,500-10,000 บาท เหมือนกับแพทย์ประจำตำบล</h3> <h3><span style="color: #0000ff;">กัญชาเสรี-บุรีรัมย์โมเดล สอดต้นฉบับเข้าแฟ้มนโยบาย</span></h3> <h3>ด้านพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นว่าที่รองนายก ฯ ควบรมว.สาธารณสุข แม้ “ไม่มีคู่แข่ง” โกยแต้มไว้เป็นแต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในเรื่อง “กัญชาเสรี” แต่ต้องไม่ลืมว่า พรรคพลังประชารัฐก็มีส่วนแบ่งความดีความชอบในการตั้งไข่กัญชาเพื่อการแพทย์เช่นเดียวกัน แต่ดัน “ตกม้าตาย”ตอนจบ</h3> <h3>รวมถึงการแก้กฎหมายขนส่ง ทำให้ Grab Car ถูกกฎหมาย แต่ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเป็นนโยบาย “เผือกร้อน” ต้องสู้รบปรบมือกับเจ้าพ่อ-มาเฟียแท็กซี่และวินเถื่อน</h3> <h3>ขณะที่นโยบายที่ไม่มีใครแย่ง-ไม่มีใครกล้าแตะอย่าง “บุรีรัมย์ โมเดล” ต้นแบบการพัฒนาเมืองเพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชนและนำแนวคิดไปเผยแพร่ในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว นโยบาย “แก้หนี้” กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มูลหนี้ 5 แสนล้านบาท</h3> <h3><span style="color: #0000ff;">คาดยุติ ครม.เก่า 9 ก.ค. เตรียม ครม.ใหม่สัญจรทันที</span></h3> <h3>รายงานข่าวจากจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในวันอังคารที่ 9 ก.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นประธานการประชุม ครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาล คสช. นอกจากนี้ในส่วนของการเตรียมการเพื่อต้อนรับรัฐบาลและ ครม.ชุดใหม่นั้น ล่าสุดฝ่ายกองการสถานที่ทำเนียบรัฐบาล ได้จัดเตรียมห้องรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประสำนักนายกรัฐมนตรี และห้องโฆษกรัฐบาลที่จะเข้ามารับหน้าที่ใหม่ พร้อมกันนี้ได้เตรียมห้องในตึกภักดีบดินทร์ไว้สำหรับให้ ครม.ชุดใหม่ถ่ายรูปเพื่อทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรีด้วย</h3> <h3>อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์มีความตั้งใจและมีดำริที่จะประชุม ครม.ชุดใหม่ทันทีหลังการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งจะเป็นช่วงค่ำในวันเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า</h3> <h3><span style="color: #800000;">นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้มีดำริให้เจ้าหน้าที่และกระทรวงมหาดไทยเตรียมการลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการทันที หลังการแถลงนโยบายต่อสภาที่จังหวัดยะลาในต้นเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) และการตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลนั้น กำหนดให้มีเช่นเดิมเหมือนรัฐบาลประยุทธ์ 1 คือ 1 เดือนจะมีประชุม ครม. 1 ครั้ง และการลงพื้นที่ของนายกฯ เพื่อตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาล 1 ครั้ง</span></h3> <h3>ที่มา<a href="https://www.prachachat.net/politics/news-347599"> ประชาชาติ</a></h3>