<h3>“ปรีชา” เผย สภา มมส มีมติไม่เปิดภาคเรียนตามอาเซียนแล้ว เพราะกระทบการเรียนการสอน ขอกลับเปิดภาคเรียนตามเดิม เริ่มปีการศึกษา2563</h3> <h3><!--more--></h3> <h3>วันที่ (11 มี.ค.62)ศ.ดร.ปรีชา ประเทพา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ( มมส ) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ สภา มมส.ได้มีมติเห็นชอบปรับเปลี่ยนการเปิดภาคเรียนจากการเปิด-ปิดภาคเรียนตามประเทศในกลุ่มอาเซียน คือภาคเรียนที่ 1 เดือนสิงหาคม-ธันวาคม และภาคเรียนที่ 2 เดือนมกราคม-พฤษภาคม กลับมาเป็นแบบเดิม คือ ภาคเรียนที่ 1 เดือนมิถุนายน- ตุลาคม และภาคเรียนที่ 2 เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม โดยจะเริ่มภาคเรียนที่ 1 เดือนมิถุนายน 2563 ส่วนเหตุผลที่กลับไปเปิดภาคเรียนตามเดิม เนื่องจากการเปิด-ปิดภาคเรียนตามอาเซียน ส่งผลกระทบกับการเรียนการสอนของ มมส ค่อนข้างมาก และประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีความเห็นเรื่องนี้ขึ้นกับความพร้อมของแต่ละมหาวิทยาลัย เพราะแต่ละแห่งมีข้อจำกัดแตกต่างกัน</h3> <h3>ศ.ดร.ปรีชา กล่าวต่อไปว่า ทาง มมส ยังได้มีการทำวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลกระทบของการเปิด – ปิดภาคเรียนตามสถาบันอุดมศึกษาในกลุ่มประชาคมอาเซียนต่อการจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม” โดยสอบถามกลุ่ม นิสิต เจ้าหน้าที่ และอาจารย์ในมมส พบว่า การเปิด – ปิดตามอาเซียน มีผลกระทบด้านการจัดการงบประมาณของมหาวิทยาลัย คือ เดือนกันยายนจะสิ้นปีงบประมาณ ส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อใช้จัดโครงการ จัดกิจกรรมของอาจารย์มีปัญหาค่อนข้างมาก เนื่องจากระยะเวลาที่ไม่สอดคล้องกัน นอกจากนี้ในการจัดการเรียนการสอนบางหลักสูตรที่ต้องส่งนิสิตไปฝึกสอนตามโรงเรียนก็มีปัญหา เพราะช่วงที่นิสิตจะไปฝึกสอนตรงกับช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม ซึ่งต้องมีการวางแผน จัดปฏิทินการศึกษาให้ดี เพื่อไม่ให้นิสิตเสียเวลา และสามารถสำเร็จการศึกษาตามระยะเวลาที่กำหนดได้โดยไม่กระทบ อีกทั้งบางหน่วยงานก็อาจไม่ได้รับนิสิตเข้าฝึกงาน เนื่องจากได้รับนักศึกษาจากสถาบันอื่นไปแล้ว</h3> <h3>“การกลับไปเปิด - ปิดภาคเรียนในช่วงเวลาเดิมน่าจะเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยมากกว่า ทั้งนี้ได้วางแผนและคำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ ไว้อย่างครอบคลุมรอบด้านแล้ว ทั้งเรื่องการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถานบันอุดมศึกษา หรือทีแคส ซึ่งทุกฝ่ายทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง นิสิตที่กำลังศึกษาอยู่จะไม่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน “ ศ.ดร.ปรีชา กล่าว.</h3> <h3><strong>ที่มา:เดลินิวส์</strong></h3>