<h3>อธิบดีกรมการค้าภายใน ย้ำเกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรเท่านั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว <!--more--> นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ร่วมชี้แจงทำความเข้าใจในมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ที่ศูนย์แสดงสินค้าจังหวัดพิจิตร พร้อมย้ำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวกับกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือตอนล่าง 6 จังหวัด</h3> <h3>อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า สำหรับมาตรการดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ กำหนดการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด คือ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ทุกชนิดราคาความชื้นต้องไม่เกิน 15 % หากเก็บเกี่ยวได้ปริมาณต่ำกว่าที่กำหนด อัตราการชดเชยให้นับตามจริง แต่เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของข้าวชนิดที่กำหนดไว้</h3> <h3>ในส่วนของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้วก่อนหน้านี้ ธ.ก.ส.จะจ่ายเงินครั้งแรกในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 จากนั้น คณะอนุกรรมการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิง จะประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดโครงการประกันรายได้ คือ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 และการจ่ายเงินชดเชย ธ.ก.ส. จะจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงภายใน 3 วัน นับจากวันที่ได้รับราคาอ้างอิงจากคณะอนุกรรมการฯ ในแต่ละรอบ ทั้งนี้ เป็นนโยบายระยะเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ให้สามารถขายข้าวเปลือกได้กำไรและมีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น</h3> <h3>ข้อมูลข่าวและที่มา ผู้สื่อข่าว : จิรภัทร จิตตรีพรต ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา แหล่งที่มา : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิจิตร</h3> <h3></h3>