<h3>เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ดร.อุตตม สาวนายน รมว.คลัง โพสต์ล่าสุดว่า “ชิมช้อปใช้” คือหัวรถจักรดึงการบริโภคในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ</h3> <h3><!--more--></h3> <h3>จากรายงานตัวเลขมาตรการ “ชิมช้อปใช้” 3 วันแรก ในช่วงวันที่ 27-29 ก.ย.62 ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ไปใช้สิทธิ์แล้ว 370,523 คน มียอดการใช้จ่าย 294 ล้านบาท และกว่าร้อยละ 50 ของการใช้จ่าย หรือประมาณ 148 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายในร้าน “ช้อป” ซึ่งอยู่ในกลุ่มร้านค้าชุมชน โอท็อป ร้านวิสาหกิจชุมชน และร้านธงฟ้าประชารัฐ</h3> <h3>รองลงมา คือร้าน “ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่มียอดใช้จ่ายประมาณ 60 ล้านบาท และร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ มียอดใช้จ่ายประมาณ 7 ล้านบาท ด้านร้านค้าทั่วไปซึ่งรวมถึงรายใหญ่ มียอดใช้จ่ายราว 79 ล้านบาท ถือว่าน้อยกว่าการใช้จ่าย 2 รายการแรกมาก</h3> <img class=" wp-image-13562 aligncenter" src="https://katipnews.com/wp-content/uploads/2019/10/71085328_908980636143399_156312186526892032_n-400x266.jpg" alt="" width="562" height="374" /> <h3>ทั้งนี้เป้าหมายของโครงการนี้ คือการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเน้นไปที่เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะเกิดประโยชน์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อธิบายง่ายๆให้เห็นภาพเช่น ซื้อไอศกรีม 1 ถ้วย หมายถึง พ่อค้าได้รับเงิน พ่อค้าก็เอาเงินไปซื้อวัตถุดิบ ครีม เนย หรือผลไม้ มาเป็นวัตถุดิบขายต่อ ผู้ผลิตครีมเนย ก็ได้ขายวัตถุดิบ เงินหมุนไปเป็นค่าแรงคนงาน หรือผลไม้ ชาวสวนก็ได้รับเม็ดเงิน ฯลฯ</h3> <h3>ทุกท่านคงเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า การกระตุ้นการบริโภคก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนอย่างไร และที่สำคัญโครงการแบบนี้ ส่งผลด้านจิตวิทยา เกิดความคึกคักในการจับจ่ายใช้สอย ผมเชื่อว่าเงิน 1,000 บาทต่อคน ที่ได้รับไป จะมีจำนวนไม่น้อยที่จ่ายเพิ่มเติมอีกมาก เม็ดเงินจะสะพัดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว</h3> <h3>สำหรับผลที่ได้ในมาตรการนี้ ถือว่าประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี แม้จะมีปัญหาเชิงเทคนิคและการเรียนรู้ของผู้รับสิทธิบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้พยายามชี้แจง ปรับปรุง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ร่วมโครงการทั้งผู้ใช้สิทธิและร้านค้า อย่างเต็มที่</h3> <h3>ล่าสุดท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาแนวทางของการขยายมาตรการดังกล่าวออกไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นอีก</h3> <h3>โดยอาจจะมีการกำหนดเงื่อนไขและรูปแบบของมาตรการ ให้ง่ายต่อการเข้าถึงของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะต้องมีการศึกษาและนำเอาผลการดำเนินงานของมาตรการในระยะแรก มาวิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อเสียอีกครั้งหนึ่ง เช่น การลงทะเบียนเพื่อใช้จ่ายในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็อาจกำหนดให้ใช้ได้ทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดที่ผู้ลงทะเบียนมีภูมิลำเนาอยู่ รวมทั้งสนับสนุนร้านค้าชุมชน วิสาหกิจชุมชน และการท่องเที่ยวในเมืองรอง เข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น</h3> <h3>อย่างไรก็ตามมาตรการในระยะแรกนี้ ยังคงเปิดใช้จนถึงวันที่ 30 พ.ย.62 โดยพี่น้องประชาชนที่ลงทะเบียน หากเงิน 1,000 บาท ในแอพฯ “เป๋าตัง” หมดแล้ว ยังสามารถเติมเงินในกระเป๋า 2 หรือ G-Wallet เพื่อใช้สิทธิ์ รับเงินคืน (Cash Back) 15% ของยอดเงินที่เติมและใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอพฯ ได้อีก เช่น เติมเงินจ่ายสินค้าและบริการ 1,000 บาท จะได้รับเงินคืน 150 บาท เป็นต้น โดยสามารถรับเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท หรือจากยอดใช้จ่าย 30,000 บาท</h3> <ul> <li class="title font-weight-bold mt-3 mb-0"> <h3><span style="color: #800000;"><a style="color: #800000;" href="https://katipnews.com/%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99-%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%9b%e0%b9%83%e0%b8%8a%e0%b9%89-%e0%b8%a7/">ลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้” วันที่ 2 รับสิทธิ์ 7.75 แสนคน พบ 8 หมื่นคนถูกตัดสิทธิ์</a></span></h3> </li> </ul>