เอกชนระบุพรรคการเมืองใช้นโยบายขึ้นค่าแรงหาเสียงได้แต่ต้องระวังผลกระทบเกิดขึ้นด้วย ชี้ภาคธุรกิจเริ่มใช้หุ่นยนต์ – เทคโนโลยีใหม่เข้ามาบริหารจัดการต้นทุนแล้ว ย้ำพร้อมทำงานกับรัฐบาลใหม่
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง แต่ละพรรคการเมืองมีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือประเทศ แต่มีแนวทางการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องดูมาตรการระยะสั้นระยะยาวว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหนรวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล นโยบายจะต้องมีความชัดเจน แต่หากสามารถสานต่อนโยบายเดิมได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ แต่ถ้ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติมาสอบถามเรื่องการเมืองภายในประเทศว่า พรรคใดจะได้เป็นรัฐบาลชุดต่อไป ซึ่งตอบไม่ได้เพราะต้องรอผลการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ก่อน และที่ผ่านมา ผลโพลของแต่ที่ออกมาไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เห็นว่านโยบายการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ สิ่งแรกที่ต้องการให้ทำคือ การแก้ไขกฎระเบียนต่างๆ ที่ล้าสมัย ให้ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เพื่อเข้ากับยุคไทยแลนด์ 4.0 รวมถึงให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการเ สเอ็มอี ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น จากปัจจุบันที่เอสเอ็มอีมีประมาณ 3 ล้านราย แต่ปรับตัวได้ไม่กี่ราย
สำหรับกรณีที่พรรคการเมืองออกมาหาเสียโดยใช้นโยบายขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำนั้น มองว่า เป็นเรื่องที่ทุกพรรคสามารถพูดหาเสียงได้ แต่ต้องดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราปัจจุบันผู้ประกอบการวมีทางเลือกอื่นในการทำธุรกิจยุคดิจิทัล โดยนำเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น เอ็มเค จึงต้องหันมาพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันต่อเทคโนโลยีและมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เพื่อสอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงในปัจจุบัน เพราะหากผู้ประกอบการไทยไม่ปรับตัวขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายการบริหารงานที่สูงและแบกรับภาระไม่ไหวอาจจะต้องปิดกิจการลง ซึ่งจะส่งผลให้ต่างชาติเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าบางพรรคการเมืองมีการจ่ายเงินซื้อเสียงนั้น ประชาชนก็ต้องเป็นหูเป็นตาร่วมกันปราบคอรัปชั่น
https://youtu.be/433L77Akyk4