นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก กองทุนขอแสดงความห่วงใยและเป็นกำลังใจให้แก่ผู้กู้ยืมเงินและผู้ประสบภัยในพื้นที่ดังกล่าว
ขณะนี้ กองทุนได้ออกประกาศหลักเกณฑ์พิจารณาความเสียหายของทรัพย์สินอย่างรุนแรงกรณีเป็นผู้ประสบภัยพิบัติหรือการเป็นผู้มีรายได้ถดถอย หรือมีความจำเป็นต้องดูแลบุคคลในครอบครัว ซึ่งชราภาพ ป่วยหรือพิการ เพื่อขอผ่อนผันการชำระเงินคืนกองทุนสำหรับผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระหนี้ ดังนี้
กรณีผู้กู้ยืมเป็นผู้ประสบภัยพิบัติ ซึ่งทรัพย์สินได้รับความเสียหายรุนแรง จากอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ รวมถึงภัยจากสงครามหรือจลาจล ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยพิบัติสาธารณภัยต้องเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตามที่กำหนดเขตประสบภัยพิบัติจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือจังหวัด และมีหลักฐานที่รับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยจริงภายใน 1 ปีนับจากวันที่ประสบภัยพิบัติ และทรัพย์สินได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐ
สำหรับกรณีนี้ สามารถขอผ่อนผันได้ไม่เกิน 2 คราวๆละไม่เกิน 1 ปี รวมระยะเวลาแล้วไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ โดยช่วงเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน ผู้กู้ยืมไม่ต้องชำระหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยกองทุนจะยกเว้นเบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียมกรณีผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันแล้ว กองทุนจะนำยอดหนี้ที่คงเหลือนับแต่วันที่สิ้นสุดการผ่อนผันมาคำนวณใหม่ และให้ชำระตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามสัญญากู้ยืมเงินเดิม
กรณีเป็นผู้มีรายได้ถดถอย ต้องเป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษี ณ ที่จ่าย หักเงินเข้ากองทุนที่ผู้กู้ยืมเงินต้องถูกหักตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และเมื่อหักจำนวนเงินงวดที่ครบกำหนดชำระคืนกองทุนในปีนั้นมาเฉลี่ยเป็นรายเดือน แล้วมีเงินเหลือไม่เกินเดือนละ 2,500 บาท
กรณีเป็นผู้กู้ยืมเงินที่มีความจำเป็นต้องดูแลบุคคลในครอบครัวซึ่งชราภาพ ป่วย หรือพิการ ต้องเป็นผู้มีรายได้คงเหลือหลังจากการหักค่าใช้จ่ายที่ใช้ดูแลบุคคลในครอบครัว ซึ่งชราภาพ ป่วย หรือพิการแล้ว เหลือไม่เกิน 8,008 บาทต่อเดือน กรณีชราภาพ ได้แก่ บิดา มารดา อายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์และไม่มีรายได้ กรณีป่วย ได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย และผู้สืบสันดาน ซึ่งป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรงจนไม่สามารถประกอบการงานได้ ทั้งนี้ ให้ใช้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับผู้กู้ยืมซึ่งป่วยเป็นโรคเรื้อรังดังกล่าวตามประกาศที่กองทุนกำหนด
สำหรับกรณีเป็นผู้มีรายได้ถดถอย และกรณีเป็นผู้กู้ยืมเงินที่มีความจำเป็นต้องดูแลบุคคลในครอบครัวซึ่งชราภาพ ป่วย หรือพิการ ให้ผู้กู้ยืมทำบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญากู้ยืมเงินกับกองทุนและถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งในบันทึกข้อตกลงนั้นต้องมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันให้ความยินยอมให้ผ่อนผันด้วย โดยผู้กู้ยืมเงินยอมรับเงื่อนไขใหม่ในการชำระเงินคืนกองทุน ดังนี้
1️⃣ ขยายระยะเวลาในการชำระเงินคืน / ในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี
– มูลหนี้รวมคงเหลือไม่เกิน 1 แสนบาท ขยายเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 1.5 เท่า ของระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามสัญญากู้ยืมเงินเดิม
– เกิน 1 แสน แต่ไม่เกิน 2 แสน ขยายไม่เกิน 2 เท่า
– เกิน 2 แสน ขยายไม่เกิน 2.5 เท่า
2️⃣ ชำระหนี้เป็นรายเดือน
3️⃣ หากผิดนัดชำระหนี้การขยายเวลาสิ้นผล ผู้กู้ยืมต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาตามสัญญากู้ยืมเงินเดิม และเสียเบี้ยปรับร้อยละ 1.5/เดือน ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ
นอกจากนี้ กองทุนได้ออกประกาศหลักเกณฑ์การขอระงับการเรียกให้ชำระหนี้ สำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบการงานได้ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรงจนไม่สามารถประกอบการงานได้ มีรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการประกอบอาชีพการงานไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี หรือไม่เกิน 2,500 บาทต่อเดือน สามารถขอให้กองทุนพิจารณาระงับการเรียกให้ชำระหนี้ได้คราวละไม่เกิน 1 ปี โดยผู้กู้ยืมต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
พิการหรือทุพพลภาพไม่สามารถประกอบการงานได้ ได้แก่ ความพิการทางการเห็น การได้ยินหรือสื่อความหมาย การเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จิตใจหรือพฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ และออทิสติก
เป็นโรคติดต่อร้ายแรงจนไม่สามารถประกอบการงานได้ ได้แก่ กาฬโรค ไข้ทรพิษ ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก ไข้เวสต์ไนล์ ไข้เหลือง โรคไข้ลาสซา โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก โรคไวรัสติดเชื้ออีโบลา โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดราโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือโรคซาร์ส โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก และโรคเอดส์
เป็นโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรง จนไม่สามารถประกอบการงานได้ ได้แก่ โรคมะเร็งระยะสุดท้าย โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ โรคเยื่อหุ้มสมองและ ไขสันหลังอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย โรคไวรัสตับอักเสบขั้นรุนแรง โรคหลอดเลือดสมองแตกและอุดตัน และโรคตับวายระยะสุดท้าย
เป็นผู้ที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตลอดชีวิต
เป็นผู้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและกองทุนได้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแล้ว