เรื่องโดย ศิริลักษณ์ หาพันธ์นา
กว่าจะมาเป็น “กัญชาถูกกฎหมาย” ในหลายประเทศทั่วโลก…นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องผ่านกระบวนการอันซับซ้อน ทั้งเสียงจากประชาชน การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเเละการพัฒนาทางการเเพทย์ ในสหรัฐอเมริกากว่าจะเสพกัญชาเพื่อ “ความบันเทิง” ได้ก็ต้องรอนานกว่า 3 ทศวรรษ
การเปลี่ยนเเปลงของ “กัญชา” ผ่านยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากสิ่งผิดกฎหมายกลายเป็นธุรกิจสร้างรายได้ เป็นยารักษาโรค เป็นเเม่เหล็กดึงดูดให้คนมาท่องเที่ยว รวมไปถึงการโกยภาษีมหาศาลเข้ารัฐ เเต่ก็มีโทษเช่นเดียวกัน
ในขณะที่เมืองไทยยังคงมีการถกเถียงเรื่องกัญชา–กัญชง เเละรอผลวิจัยเพื่อเเก้กฎหมายนำมาใช้ทางการเเพทย์ เรามาดูโมเดลพัฒนาการของ “กัญชาถูกกฎหมาย” ของหลายประเทศทั่วโลกกัน
เส้นทางกัญชาอเมริกา : จากต่อต้านสู่เสรี การเเพทย์สู่บันเทิง
เมื่อ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ทางการรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศให้การเสพกัญชาเพื่อ “ความบันเทิง” กลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยเป็นรัฐที่ 7 ของสหรัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ และคาดว่ารัฐแมสซาชูเซตส์และรัฐเมนจะตามมาภายในปลายปีนี้
ขณะเดียวกันมี 29 รัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ ถึงแม้ว่ากฎหมายระดับประเทศ (Federal Law) ยังคงห้ามอยู่ก็ตามที
หลังกฎหมายใหม่นี้บังคับใช้ ร้านขายกัญชาที่มีใบอนุญาตในเมืองซานดิเอโกแทบทุกร้าน บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนรอคิวซื้อกัญชามวนและอาหารที่ผสมกัญชา ตั้งแต่คนในวัยหนุ่มสาวยันวัยเกษียณ
สำหรับแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกในอเมริกา ที่อนุญาตให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายเมื่อ 22 ปีก่อน จากอดีตถึงปัจจุบันแคลิฟอร์เนียกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ที่มีตลาดซื้อขายกัญชาเพื่อการแพทย์สูงสุดในสหรัฐ
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2014 รัฐโคโลราโด สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเป็นแห่งแรกของโลกที่ประชาชนสามารถเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง สูบ–กิน–ซื้อและปลูกได้ตามกฎหมาย นอกเหนือจากการใช้เพื่อการแพทย์ โดยผ่านการลงมติเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของพลเมืองในรัฐ
ตามมาด้วยกรุงวอชิงตันดีซี ได้เป็นมลรัฐที่สองที่เปิดเสรีกัญชา ให้สามารถเสพเพื่อความบันเทิงได้ แต่ต้องแลกด้วยภาษีที่สูงมาก ทำให้ราคากัญชาในรัฐนี้แพงตามไปด้วย
สำหรับข้อกำหนดการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิง ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ต้องซื้อจากร้านที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามเสพในที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร หรือสวนสาธารณะ และต้องเสพห่างจากเขตโรงเรียน 300 เมตร โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับครั้งแรก 100 ดอลลาร์ และจะสูงขึ้นในครั้งต่อไป และสามารถครอบครองได้ไม่เกิน 28.5 กรัม และปลูกได้ไม่เกิน 6 ต้นที่บ้าน และต้องปลูกโดยมิดชิด เนื่องจากยังผิดกฎหมายระดับประเทศอยู่
ขณะที่ผู้ที่เคยต้องโทษคดีกัญชา สามารถร้องขอให้ศาลกำหนดโทษให้ใหม่เพื่อล้มล้างโทษ และสามารถร้องขอให้ลบประวัติอาชญากรรมได้
กว่าจะมาถึงจุดนี้ ในช่วงทศวรรษ 1970 อเมริกาก็เคยมีการปราบปรามการใช้กัญชาอย่างหนัก เมื่อการเสพกัญชาได้กลายเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษา ชาวฮิปปี้ และคนรุ่นใหม่ยุค 1960 ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่มีโทษอาญา ต่อมาในยุค 1980 กระแสต่อต้านกัญชาในสหรัฐเริ่มเปลี่ยนแปลง หลังมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองถึงคุณประโยชน์ของกัญชา
ผลวิจัยล่าสุดจาก Gallup เปิดเผยว่า ในปี 2017 กว่า 64% ของประชากรผู้ใหญ่ของอเมริกาสนับสนุนให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยมองว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากทศวรรษก่อนที่มีเพียง 36% เท่านั้นที่ให้การสนับสนุน ทำให้ผลโหวตในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 57% สนับสนุนให้การเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายในที่สุด
มีหลายสำนักคาดผลทางเศรษฐกิจ หลังรัฐแคลิฟอร์เนียอนุญาตเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง โดยนักวิเคราะห์ “กรีนเวฟ” คาดว่าจะมีเงินสะพัดในอุตสาหกรรมกัญชาในสหรัฐมากถึง 5,100 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 และจะให้ให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตถุง 3 เท่าในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ด้านบริษัทที่ปรึกษาอาร์ควิว เผยรายงานคาดว่า อุตสาหกรรมกัญชาถูกกฎหมายจะสร้างรายได้ กว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ และสร้างงานกว่า 400,000 ตำเเหน่งในสหรัฐภายในปี 2021 อีกทั้งรัฐบาลจะเก็บภาษีได้ 4,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 3 ปี
ท่ามกลางความนิยม ก็มีอุปสรรคที่ขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชาในสหรัฐ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่านกฎหมายนี้ เช่น แบงก์จะไม่กล้าให้เงินทุนกับร้านจำหน่ายกัญชา เนื่องจากอาจกลายเป็นการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยาเสพติดผิดกฎหมายระดับประเทศ หรือกฎหมายภาษี 280E ที่ระบุว่าธุรกิจค้ากัญชาไม่สามารถยื่นขอหักภาษีได้เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นที่มีสิทธิได้รับตามปกติ ทำให้ร้านค้าอาจจะต้องเสียภาษีเงินได้สูงถึง 90%
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงเรียกร้องให้ธุรกิจกัญชา ได้รับการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านความโปร่งใส การโฆษณา และการซื้อขาย กลายเป็นประเด็นสำคัญที่กดดันให้ “รัฐบาลกลางสหรัฐ” ต้องทบทวนสถานะของ “กัญชา” ในระดับประเทศครั้งใหญ่
แคนาดา : โกยเงิน “กัญชาพาณิชย์” เจ้าใหญ่ของโลก
เป็นที่ทราบกันดีว่าการค้า “กัญชา” เป็นธุรกิจใหญ่ที่นำรายได้มหาศาลเข้าสู่แคนาดามานับทศวรรษ หลังมีการอนุญาตให้นำกัญชามาใช้รักษาโรคได้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยพลเมืองวัยหนุ่มสาวกว่า 30 % ของแคนาดายอมรับว่าพวกเขาเคยเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง บรรดาบริษัทเอกชนสัญชาติแคนาดา ต่างแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาดผลิตและจำหน่ายกัญชาถูกกฎหมายรายใหญ่ของโลก
และการผลักดันให้มีการปลูก ขาย และเสพกัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจอย่างถูกกฎหมายนั้น ก็เป็นหนึ่งในนโยบายที่ทำให้ “จัสติน ทรูโด” ชนะเลือกตั้งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยหลังเข้ารับตำแหน่งเขาได้เสนอพ.ร.บ.กัญชา (Cannabis Act) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาและคาดว่าจะผ่านเป็นกฎหมายออกมาได้ในช่วงกลางปี 2018 นี้
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว กระตุ้นให้เอกชนเริ่มเตรียมการรับกฎหมายใหม่ อย่างเช่นผู้ผลิตกัญชารายใหญ่ “คานาปี โกรว์ธ คอร์ป” ซึ่งมีมูลค่าหุ้นในตลาดที่ 1,240 ล้านดอลลาร์ พื้นที่ปลูกในโรงเรือนแบบปิดรวมกว่ากว่า 350,000 ตารางฟุต
และคู่แข่งรายสำคัญที่กำลังตีตื้นขึ้นมากับบริษัท “ออโรร่า แคนนาบิส อิงค์” ผู้ผลิตกัญชาสัญชาติแคนาดาที่สร้างโรงเรือนใหม่ใหญ่ถึง 800,000 ตารางฟุต ที่จะมีกำลังผลิตกว่า 100 ตันต่อปี นับว่าเป็นพื้นที่ปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองรับพ.ร.บ.กัญชาใหม่ของแคนาดา
ทั้งนี้ สถิติจากสำนักงบประมาณรัฐสภาแคนาดา ระบุว่า ปัจจุบันราคาจำหน่ายกัญชาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่นในเมืองควิเบค ราคากรัมละ 7.31 ดอลลาร์แคนาดา ขณะที่ในเมืองอื่นๆทางตอนเหนือของประเทศ ราคาจำหน่ายกรัมละ 13.17 ดอลลาร์แคนาดา
สำนักวิเคราะห์หลายแห่ง คาดการณ์ว่า เมื่อ พ.ร.บ.กัญชามีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ รัฐบาลแคนาดาอจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีกัญชาเพิ่มขึ้น สูงสุดถึงปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่บางสำนักก็คาดว่าอาจเก็บได้เพียงราว 600 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เนเธอร์เเลนด์ : กัญชากระตุ้นท่องเที่ยว
เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการเสพกัญชาถูกกฎหมาย และนำมาเป็นแม็กเนตดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโต ขณะที่ประชาชนมีความคิดเห็นที่ดีต่อกัญชา โดยมองว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่และสุรา
โดยพบสำรวจพบว่า 23 % ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอัมสเตอร์ดัมส์ ต้องการใช้บริการร้านกาแฟ ที่อนุญาตให้บุคคลที่อายุมากกว่า 18 ปีสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย อีกทั้งยังสามารถซื้อกัญชาได้สูงสุด 5 กรัม โดยร้านกาแฟประเภทนี้ มีประมาณ 220 ร้าน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในย่านแหล่งบันเทิง
ด้านประเทศอื่นๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย อย่างเดนมาร์ก การสูบ–ปลูก–ครอบครองและขายกัญชา ยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในขณะที่รัฐกำลังพยายามผลักดันพัฒนาเรื่องการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ในต้นปีนี้
ฟากฝั่งยุโรปอย่าง “สเปน” เป็นประเทศแรกๆ ที่เปิดให้กัญชาถูกกฎหมาย และอนุญาตให้ประชาชนสามารถใช้และปลูกเองภายในบ้านได้ตามจำนวนที่กำหนด แต่ห้ามนำออกมาขายและซื้อ พร้อมสามารถพกติดตัวได้สูงสุด 40 กรัม ขณะที่กรุงปรากของสาธารณรัฐเช็ค ก็เป็นอีกเมืองที่สามารถปลูกกัญชาในครอบครองได้ 5 ต้น เเละพกติดตัวได้สูงสุด 15 กรัม
อุรุกวัย : กฎหมายเสรีกัญชา ในดินเเดนยาเสพติด
“อุรุกวัย” นับว่าเป็นดินเเดนเเห่งกัญชา ที่เสรีที่สุดแห่งลาตินอเมริกา โดยเมื่อเดือน ก.ค.ปี 2017 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุญาตให้มีการขายกัญชาเพื่อสันทนาการตาม “ร้านขายยา” ได้อย่างถูกกฎหมายเป็นชาติแรกในโลก หลังผ่านกฎหมายเสพกัญชาอย่างถูกฎหมายมาตั้งเเต่ปี 2013
โดยคุณสมบัติผู้ที่สามารถซื้อกัญชาตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต จะต้องเป็นพลเมืองอุรุกวัย หรือบุคคลมีสิทธิพำนักอาศัยถาวร อายุ 18 ปีขึ้นไป พร้อมลงทะเบียนกับรัฐเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะสามารถซื้อกัญชาได้สูงสุด 40 กรัมต่อเดือน ราคากรัมละ 1.30 ดอลลาร์สหรัฐ โดยกัญชาจะต้องมาจากไร่ที่รัฐกำกับดูแล นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ปลูกกัญชาเองที่บ้านได้ปีละ 6 ต้น และอนุญาตให้ตั้งสมาคมผู้สูบกัญชา 15-45 คน ซึ่งจะปลูกกัญชาได้ปีละ 99 ต้น
สำหรับอุรุกวัย ถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราเหตุรุนแรงเกี่ยวกับยาเสพติดน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในละตินอเมริกา แต่ผู้ต้องขังราว 1 ใน 3 ล้วนพัวพันการค้ายาเสพติด เพราะอุรุกวัยกลายเป็นเส้นทางลำเลียงกัญชาจากปารากวัยและโคเคนจากโบลิเวีย
จากผลสำรวจผู้ใหญ่จำนวน 9,000 คนจาก 9 ประเทศในภูมิภาคนี้อย่าง อาร์เจนตินา , โบลิเวีย, ชิลี ,โคลัมเบีย ,คอสตาริกา , เอลซัลวาดอร์ ,เม็กซิโก ,เปรู เเละอุรุกวัย พบว่ากว่า 40 % เห็นด้วยกับเรื่องกัญชาถูกกฎหมาย
โดยประชาชนในอุรุกวัย ผู้บุกเบิกตลาดกัญชาถูกกฎหมาย เห็นด้วย 68% ตามมาด้วยเม็กซิโก 57% คอสตาริกาที่ 55% อย่างไรก็ตาม การยอมรับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการยังแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ออสเตรเลีย : เป้าใหม่เบอร์หนึ่งของโลก ผู้ส่งออกกัญชาเพื่อการเเพทย์
ข้ามมายังฝั่งแปซิฟิก ออสเตรเลียประกาศแผนตั้งเป้าเป็นผู้นำการส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์เบอร์หนึ่งของโลก หวังส่งขายทำเงินต่างประเทศ เหมือนแคนาดาและเนเธอร์แลนด์ ขณะที่อุรุกวัยและอิสราเอลก็เคยประกาศแผนส่งออกตีตลาดกัญชาเช่นเดียวกัน
โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีสาธารณสุขของออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายผลักดันให้เกษตรกรและผู้ผลิตออสเตรเลีย เป็นผู้ส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์อันดับ 1 ของโลก และนโยบายนี้จะเป็นผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและช่วยเหลือผู้ป่วยภายในประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภาก่อน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้เร็วสุดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้านก็แสดงท่าทีสนับสนุนเรื่องนี้
ออสเตรเลีย กำหนดให้การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ถูกกฎหมาย มาตั้งแต่ปี 2016 ส่วนการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ จากการประเมินของแกรนด์วิวรีเสิร์ช (Grand View Research) บริษัทที่ปรึกษาของสหรัฐ ระบุว่า ตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์ทั่วโลกอาจมีมูลค่าสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025
ไทย : ปลูกกัญชาผิดกฎหมาย ปลูกได้แต่กัญชง
ย้อนกลับมาที่ “กัญชา” ในเมืองไทย มีความพยายามจะเสนอให้กัญชาถูกกฎหมายหลายครั้ง ล่าสุดจากกรณีนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เสนอให้บริเวณเขตเทือกเขาภูพาน จ.สกลนครเป็นพื้นที่นำร่อง 5,000 ไร่ สำหรับเป็นแหล่งปลูกกัญชา โดยกำลังเตรียมขออนุญาตตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขถึงการขออนุญาต และการอนุญาตผลิตจำหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2561 ที่ผ่านมา
เเต่ก็ต้องโดนเบรกชะงัก เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมายืนยันว่า ประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ปลูกกัญชาได้ แต่อนุญาตให้ครอบครองเพื่อวิจัยได้ ส่วนที่อนุญาตได้คือ “กัญชง” ที่ปัจจุบันอนุญาตให้ปลูกในพื้นที่ 5 จังหวัดของภาคเหนือ เพื่อรองรับการปลูกเชิงอุตสาหกรรม
“ขอชี้แจ้งว่ากฎกระทรวงดังกล่าว ออกมาจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ว่าด้วยการปลูก เฮมพ์ (HEMP) เป็นพืชชนิดย่อยของกัญชาที่ ที่เรียกว่า “กัญชง” ซึ่งจะมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกัญชามาก แต่ที่สิ่งแตกต่าง คือ กัญชงจะมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล หรือ THC ในปริมาณไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกัญชา 3 เปอร์เซ็นต์ สารตัวนี้จะเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ถือเป็นสารเสพติด จึงมีการอนุญาตให้ทดลองปลูกกัญชงในหลายพื้นที่ แต่ไม่อนุญาตให้ปลูกกกัญชา เพราะมีสารในปริมาณที่มากกว่า” นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
นพ.สุรโชค กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะเสนอว่าควรจะมีผลงานวิจัยที่แน่ชัดก่อน โดยการวิจัยนั้นใช้เวลานานเป็นปี ซึ่งทางอย.ได้เสนอให้แก้กฎหมายยาเสพติดให้โทษ ปี พ.ศ. 2522 เพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนาการศึกษาวิจัยในคนและนำกัญชา รวมทั้งสารสกัด มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์รักษาโรคได้ ซึ่งบรรจุอยู่ในร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด เเละขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ขณะที่พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด แสดงความคิดเห็นว่า เขาเห็นด้วยหากจะมีการเปลี่ยนกัญชา ที่ปัจจุบันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 เพื่อใช้ในทางการแพทย์ อีกทั้งจะช่วยลดปัญหาลักลอบส่งประเทศที่ 3 ซึ่งมีแนวโน้มการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น โดยการลักลอบนำเข้ามาในประเทศ ขณะนี้ยังถือว่ามีความผิด ต้องจับดำเนินคดีทั้งหมด
ด้านนพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เบื้องต้นเท่าที่ทราบกัญชายังเป็นการนำมาใช้เพื่อการวิจัยเกี่ยวกับยารักษาโรคเท่านั้น ซึ่งต้องศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้ง เนื่องจากกัญชายังถือเป็นยาเสพติด
กระเเสผลักดัน “กัญชาถูกกฎหมายในไทย” ครั้งนี้จะไปได้ไกลเเค่ไหน…เเละจะส่งผลต่อสังคม ประชาชนเเละเศรษฐกิจอย่างไร…ต้องติดตาม
ขอบคุณข่าวจาก: ประชาชาติ