น.ส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เสนอมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง พิจารณาแล้ว
โดยรูปแบบการให้ความช่วยเหลือจะมีหลายแนวทางผสมผสานกัน ประกอบด้วย มาตรการการเพิ่มค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งมีประมาณ 3.5 ล้านคน ให้ได้รับเพิ่มเท่ากันทั้งหมดคนละ 1,000 บาทต่อเดือน จากปัจจุบันที่มีการจ่ายแบบขั้นบันไดอายุ 60-69 ปี รับเงินเดือนละ 600 บาท อายุ 70-79 ปี รับ 700 บาท อายุ 80-89 ปี รับ 800 บาทและอายุ 90 ปีขึ้นไปรับ 1,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ จะมีมาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านให้กับผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และต้องเช่าบ้านอยู่ ซึ่งในส่วนนี้มีพิจารณากรอบการช่วยเหลือเบื้องต้นไว้ 400 บาทต่อคนต่อเดือน รวมถึงมีมาตรการช่วยเหลือค่ารถค่าเดินทางให้กับผู้ป่วยผู้สูงอายุที่เดินทางมารักษาพยาบาล โดยเบื้องต้นอาจให้วงเงินคนละ 500-1,000 บาทต่อเดือน โดยแนวทางอาจเสนอให้มีการโยกวงเงินในบัตรสวัสดิการที่เป็นค่ารถไฟ หรือรถโดยสาร บขส.ซึ่งปกติผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยไม่ได้ใช้ให้มาใช้จ่ายเป็นค่าเดินทางเพื่อรักษาพยาบาลได้
ขณะเดียวกัน ยังมีการเสนอมาตรการจัดหาผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากพบว่ามีผู้สูงอายุและผู้ป่วยไม่น้อยที่ขาดคนดูแล จึงจะมีการเสนอมาตรการโดยมีการฝึกอาชีพให้ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะสอง หรือบัตรคนจนเฟสสอง ให้มีทักษะเข้าไปดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ถือบัตรสวัสดิการในแต่ละพื้นที่ได้ด้วย โดยภาครัฐจะมีการจ่ายค่าจ้างดูแลให้ตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 308-330 บาทต่อวันตามค่าแรงแต่ละพื้นที่จังหวัด
น.ส.นฤมล กล่าวว่า มาตรการที่ สศค.เสนอมานี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ รมว.คลัง และยังไม่อนุมัติอย่างเป็นทางการ เนื่องจากต้องรอพิจารณาความเหมาะสมอย่างรอบคอบ ทั้งความเป็นไปได้ในแง่ปฏิบัติจะทำได้จริงหรือไม่ รวมถึงงบประมาณที่ใช้ดำเนินการจะมีเพียงพอหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการหารือกับสศค.ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุป และเสนอครม.ได้ภายในสิ้นปี 2561 และเริ่มมาตรการใช้ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีความจำเป็นตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
“มาตรการดังกล่าวจัดทำขึ้นตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณหามาตรการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มเติม และให้เพิ่มงบประมาณเข้ากองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มเติมอีก 50,000 ล้านบาท เป็น 1 แสนล้านบาทเพื่อรองรับการจัดทำมาตรการ นอกจากนี้ยังมีการเสนอมาตรการลูกหลานกตัญญู เพื่อส่งเสริมให้บุตรหลานกลับไปเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐ”
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า อย่างไรก็ตามข้อกังวลขณะนี้ คือ เรื่องภาระงบประมาณที่จะต้องใช้ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายการเปิดรับสมัครผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบเก็บตกเข้ามาเพิ่มเติมเมื่อกลางปีนี้ ทำให้มีผู้มีรายได้เข้ามาสมัครเพิ่มมากกว่า 4.5 ล้านราย และมีผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติถึง 3.1 ล้านราย ซึ่งตรงจุดนี้ภาครัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณเข้าไปช่วยเหลือสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมรวมกับของเก่า 11.4 ล้านคน รวมเป็น 14.5 ล้านคน
ข้อมูลข่าวจาก