หอการค้า-ภาคเอกชนในเมืองมหาสารคามมอบโล่และทุนการศึกษาให้ “น้องแบม” และ “พี่เกมส์” ที่กล้าหาญออกมาร้องเปิดโปงกลโกงเงินคนจน พร้อมยกเป็นต้นแบบเยาวชนรุ่นใหม่ต่อต้านคอร์รัปชัน ด้านน้องแบมเผยพอใจระดับหนึ่งกับผลสอบจรรยาบรรณอาจารย์ในคณะมนุษย์ฯ
วันที่ (16 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมหอการค้าจังหวัดมหาสารคาม ต.เกิ้ง อ.เมืองฯ จ.มหาสารคาม นายทวี เสริมภักดีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม พร้อมด้วยนายณรงค์ เหล่าสุวรรณ ประธานหอการค้าจังหวัดมหาสารคาม นายวุฒิไกร ติระพงศ์ไพบูลย์ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่จังหวัดมหาสารคาม (YEC) นายอรุณ เต็มภัทราโชค อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดมหาสารคาม และนายวรวุฒิ นวสฤษฏ์กุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดมหาสารคาม ร่วมกันมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและทุนการศึกษาให้แก่ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม และ น.ส.ณัฏกานต์ หมื่นพล หรือน้องเกมส์ นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และอดีตเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น โดยทั้งคู่มีความกล้าหาญที่ออกมาเปิดโปงขบวนทุจริตภายในศูนย์ปกป้องคนจนได้กว่า 2,000 คน จนมีการตรวจสอบจาก ป.ป.ท. และพบการกระทำทุจริตในอีกกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ
นายณรงค์ เหล่าสุวรรณ ประธานหอการค้าจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า หอการค้าจังหวัดมหาสารคาม และภาคีเครือข่าย กลุ่มพ่อค้า ภาคเอกชน ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กำลังใจ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ น.ส.ณัฏกานต์ หมื่นพล อดีตเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น ที่พบว่ามีทุจริตการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งทั้งสองคนถือเป็นต้นแบบของความดี เป็นเยาวชนผู้กล้าที่ออกมาเปิดโปงความไม่โปร่งใส ต่อต้านคอร์รัปชัน
ถือเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลากหลายด้าน ทำให้สังคมและประเทศชาติมั่นคงต่อไปในอนาคต จึงขอยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับเยาวชนคนกล้าทั้ง 2 คน ที่กล้าออกมาเปิดเผยถึงความไม่ถูกต้อง
ด้าน น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม กล่าวว่า ต้องขอบคุณหอการค้าจังหวัดมหาสารคาม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ตนเอง และพี่เกมส์ สิ่งที่อยากจะบอกกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ก็คือ บ้านเมืองเราต้องการความโปร่งใส หากเราไม่รักความถูกต้องก็เหมือนกับว่าเราไม่รักประเทศชาติ และเราไม่รักตัวเอง
สำหรับผลตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจารย์ที่ออกมาก็ถือว่าพอใจระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก เพราะว่าอยากรอดูผลที่ออกมาทั้ง 6 ข้อก่อนว่าจะออกมาแบบใด ต้องอยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการ ส่วนการลงพื้นที่ทำวิจัยตอนนี้ หลังจากที่ต้องเปลี่ยนหัวข้องานวิจัย เนื่องจากว่าพื้นที่เดิมกับพื้นที่ใหม่ คนละบริบทกัน ทำให้ต้องเปลี่ยนหัวข้อ
ตอนนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าจะเรียนจบทันเพื่อนอย่างแน่นอน และที่สำคัญคือ ตนเองได้รับกำลังใจ และได้รับคำชื่นชมจากคนในชุมชนที่ตนเองลงพื้นที่ก็ทำให้รู้สึกว่ามีกำลังใจเพิ่มขึ้น และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความไม่ถูกต้อง เพื่อเป็นนักพัฒนาชุมชนที่ดีในอนาคตต่อไป