สาวเมืองช้างวัย 23 ปีถูกขังคุกฟรี 8 เดือน หลังศาลชั้นต้นพิพากษาบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องคดียาบ้ากรณีซ้อน จยย.แฟนหนุ่มถูกตำรวจล่อซื้อจับกุม เผยไม่มีเงินประกันตัวเหตุบ้านยากจน โชคดีทนายใจบุญอาสาช่วยฟรี วอนรัฐเยียวยา ซึมเศร้าหนัก
วันที่ (7 ก.พ.) ที่บ้านเลขที่ 77 ม.6 บ.โคกเพชร ต.ตระแสง อ.เมือง จ.สุรินทร์ นางพัชรพร บำเพ็ญเพียร อายุ 51 ปี และ นายสมบัติ บำเพ็ญเพียร อายุ 49 ปี พร้อมครอบครัวญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน ได้จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญให้กับ นางสาวสุพรรณษา บำเพ็ญเพียร อายุ 23 ปี หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร ว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดในคดียาเสพติด (ยาบ้า)
หลังจากเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร ได้ซ้อนรถจักรยานยนต์กับแฟนหนุ่ม คือ นายศุภกิจ นิยมสวน อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55 ม.4 ต.สำโรง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ที่เพิ่งหาคบกันไม่กี่เดือนเพื่อไปทำธุระ แต่แฟนหนุ่มกลับพาไปส่งยาบ้า จำนวน 41 เม็ด ให้สายตำรวจที่ล่อซื้อก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ซึ่งแฟนหนุ่มที่เป็นผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพ จึงถูกศาลตัดสินให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปฏิเสธว่า น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ครอบครัวไม่มีเงินประกันตัว จนถูกคุมขังในเรือนจำกลางสุรินทร์ฟรีกว่า 8 เดือนระหว่างสู้คดี
โดยมี นายคำสิงห์ ชอบมี ทนายความ อาสาเข้าไปช่วยเหลือทางกฎหมายฟรี จนศาลชั้นต้นตัดสินและได้รับอิสรภาพกลับคืนมาดังกล่าว
ระหว่างพิธีผูกข้อมือเรียกขวัญ น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร ถึงกับร้องไห้ ถึงแม้จะได้รับอิสรภาพแล้วก็ตาม เนื่องจากสภาพจิตยังคงอยู่ในอาการย่ำแย่เนื่องจากต้องถูกคุมขังถึง 8 เดือนโดยที่ตัวเองไม่ได้กระทำผิด และไม่รู้ว่าจะได้ออกจากเรือนจำวันไหน ขณะครอบครัวและญาติพี่น้องบอกว่า น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร มีสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปมาก หลังจากได้รับอิสรภาพกลับมาพบว่าอยู่ในอาการซึมเศร้า ไม่ค่อยพูดค่อยจา ต่างจากก่อนถูกคุมขังจะเป็นคนร่าเริง ซึ่งทางครอบครัวอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลสภาพจิตใจและเยียวยาในสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับผู้บริสุทธิ์ด้วย
นางพัชรพร บำเพ็ญเพียร ผู้เป็นแม่ กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า ดีใจที่ลูกได้ออกจากเรือนจำหลังถูกคุมขังมาถึง 8 เดือนในคดียาเสพติด ที่ผ่านมาตนได้วิ่งสู้คดีจนถึงที่สุดเพราะมั่นใจลูกไม่ผิด ทนายที่ช่วยเหลือตนในตอนแรกก็ไม่รู้จักกันไปเจอกันที่ศูนย์ยุติธรรมจังหวัดสุรินทร์โดยบังเอิญ นับเป็นบุญวาสนา หากไม่เจอในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าลูกจะได้ออกจากเรือนจำตอนไหน คิดไม่ออกและสับสนไปหมดเพราะฐานะที่บ้านยากจน
โดยศาลท่านตัดสินเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ว่าลูกของตนไม่ผิดและปล่อยออกมาให้เป็นอิสรภาพ รู้สึกดีใจจนร้องไห้ที่ลูกได้รับอิสระ เชื่อในความบริสุทธิ์ของลูกเชื่อจะได้ออกเพราะลูกไม่ผิด ขอขอบคุณทางด้านทนายความที่อาสาช่วยเหลือโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนใดๆ สิ่งที่ต้องการในขณะนี้คือการเยียวยา ชดเชย ให้กับลูกสาวจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะต้องไปอยู่ในเรือนจำฟรีถึง 8 เดือน และตอนนี้ลูกก็เปลี่ยนไปมากจากคนที่ร่าเริง ออกมาจากเรือนจำก็เป็นคนไม่พูด ชอบอยู่คนเดียว
ด้าน นายคำสิงห์ ชอบมี ทนายความ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้อยากให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจลูกหลานว่า เวลาที่จะคบหากับใครนั้นต้องดูให้ดี อย่างน้องคนนี้เพิ่งคบกันได้เพียงแค่ 4 เดือน แล้วนั่งรถไปด้วยกันโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับคนที่ไปด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มหรือสาว ลูกหลานเยาวชน ถ้าใครชวนไปไหนมาไหนถ้าไม่สนิทกันจริงๆ อย่าได้เชื่อใจอย่าไปเด็ดขาด เดี๋ยวจะโดนข้อหาร่วมกันจำหน่ายหรือครอบครองยาเสพติโดยที่เราไม่รู้เรื่องเลยเหมือนน้องคนนี้ ซึ่งมันจะนำความเดือดร้อนให้กับตัวเราเองและก็พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพราะโอกาสที่เราจะต่อสู้คดีหลุดเป็นเรื่องที่ยากมาก
ครั้งนี้ถือว่าน้องเขายังมีบุญแล้วเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด ศาลจึงเชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ศาลพิพากษายกฟ้อง จึงขอฝากเตือนลูกหลานเยาวชนใครก็แล้วแต่จะไปไหนมาไหนกับใครก็ให้ดูแลตัวเองด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการถูกจับดำเนินคดีโดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน
คดีนี้คือตนเป็นทนายประจำกองทุนยุติธรรมอยู่แล้ว ซึ่งรับว่าความช่วยเหลือคนยากคนจนผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งหลาย พอดีได้เจอกันเพราะทางพ่อแม่ของน้องไปขอรับความช่วยเหลือจากสำนักงานกองทุนยุติธรรมจังหวัดสุรินทร์แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ คือเขาปฏิเสธไม่ให้การช่วยเหลือ ตนจึงได้รับรู้และสอบถามเบื้องต้นแล้วก็เลยได้รับอาสาที่จะช่วยเหลือ เพราะสอบถามแกมีฐานะยากจนจริง แม้แต่เงินประกันตัวลูกออกจากเรือนจำตั้งแต่วันที่ลูกถูกจับก็ไม่มี ซึ่งได้ทำเรื่องเข้าไปสอบถามลูกความที่เรือนจำ เขาพูดลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง จึงรู้ว่าถ้าแบบนี้ไม่ผิด เลยถามเขาว่าถ้าไม่ผิดคุณจะสู้คดีไหม เขาบอกว่าสู้เพราะเขาไม่ได้ทำผิด ไม่ได้มีส่วนร่วม
ตนเลยกลับมาคุยกับพ่อแม่ของน้องว่าถ้าลูกของคุณยืนยันว่าสู้ ตนก็จะสู้คดีให้ เพราะตนสอบถามข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว น้องเขาไม่ได้ทำความผิดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 62 ศาลได้มีการพิพากษายกฟ้อง ว่าน้องเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดในคดีนี้เลย ส่วนคู่คดีของเขารับสารภาพในคดีนี้ ติดคุก 4 ปี 6 เดือน และยืนยันว่าน้องผู้หญิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ไปด้วยกันจริงในคดีดังกล่าว