แบงก์ชาติอีสานเตือนประชาชนระวังภัยคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรโทร.ขอข้อมูลทางการเงินไปใช้ประโยชน์ในทางผิดกฎหมาย เผยปี 2560 ที่ผ่านมามีคนตกเป็นเหยื่อกว่า 8 ราย สูญเงินกว่า 2.3 ล้านบาท
นายอดุลย์ ค้ำชู ผู้อำนวยการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยถึงภัยการเงินว่า สถานการณ์ภัยด้านการเงินปี 2560 ที่ผ่านมายังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์หลอกเอาข้อมูลจนทำให้มีเหยื่อสูญเสียเงิน โดยตลอดทั้งปี 2560 มีประชาชนโทร.เข้ามาแจ้งและสอบถามผ่านสายด่วน 1213 เฉพาะเรื่องนี้มีถึง 199 สาย ในจำนวนนี้มีผู้เสียหาย 8 ราย วงเงินเสียหายกว่า 2.3 ล้านบาท โชคดีที่ส่วนใหญ่ไหวตัวทัน
แต่ภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังถือเป็นภัยที่ต้องเตือนประชาชนว่าการหลอกลวงทางโทรศัพท์มีค่อนข้างสูง โดยเฉพาะตอนนี้เป็นช่วงกำลังยื่นเอกสารคืนภาษีประจำปี ช่วง 2-3 เดือนแรกของปีจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่ประชาชนที่ต้องยื่นเอกสารคืนภาษีอาจถูกมิจฉาชีพที่แฝงตัวมากับบริการคอลเซ็นเตอร์ อาศัยช่วงเวลานี้หลอกลวงเอาได้ง่าย
อาศัยอุบายต่างๆ เช่น โทร.มาแจ้งว่าได้รับคืนภาษี หรือว่าเช็คที่ส่งไม่มีคนรับ ให้เหยื่อหลงเชื่อ โดยอ้างว่าเป็นวันสุดท้ายในการคืนภาษี ซึ่งเกรงว่าจะเสียสิทธิ อาจต้องแสดงตัว ให้ข้อมูลส่วนตัว เช่นเลขที่บัตรประชาชน เลขที่บัญชี สุดท้ายอาจหลงเชื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพเหล่านี้ หรือนำข้อมูลทางการเงินไปใช้ในทางผิดกฎหมายได้
นายอดุลย์กล่าวต่อว่า อยากเตือนให้ประชาชน หากได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับการคืนภาษีที่มีการสอบถามข้อมูลส่วนตัวให้ตั้งสติ อย่าเพิ่งดำเนินการใดๆ โดยเฉพาะการให้เลขบัตรประชาชน ให้โทร.สอบถามสรรพากรในพื้นที่เสียก่อน ที่ผ่านมาสรรพากรไม่มีนโยบายติดต่อทางโทรศัพท์ หรือจะโทรศัพท์เข้ามาสอบถามที่สายด่วน 1213 ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
รูปแบบการหลอกและทำธุรกรรมได้พัฒนามากขึ้น จากเดิมทำธุรกรรมหน้าตู้เอทีเอ็ม ได้หันมาทำผ่านอีแบงกิ้ง สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือพาสเวิร์ด ข้อมูลส่วนตัว ต้องอย่าให้คนอื่นรู้ข้อมูลโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะหมายเลขบัตรประชาชน ที่พ่วงถึงเบอร์โทรศัพท์ อย่าปล่อยให้คนไม่รู้จักรู้ข้อมูลตรงนี้ได้ เพราะจะนำไปเปิดบัญชีปลอมประกอบธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก: