แม้ว่าอัลไซเมอร์จะเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาหาย แต่การเฝ้าระวังก็จะช่วยป้องกัน ลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ดังคำแนะนำของ พ.อ.(พ)รศ.นพ. สามารถ นิธินันทน์ อายุรแพทย์ด้านประสาทวิทยาต่อไปนี้
1.ใส่ใจอาการหลงลืมตามวัย
คนปกติจะเริ่มมีอาการหลงลืมตามวัย เมื่ออายุย่างเข้า 30-50 ปี และเมื่อเวลาผ่านไป บางคนอาจจะมีอาการหลงลืมมากขึ้นจนเข้าสู่ภาวะหลงลืมที่ไม่รุนแรง โดยผลจากการทำวิจัยในปี 2546 ที่มีการเก็บข้อมูลกับคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปใน 23 จังหวัด พบว่า มีคนไทยร้อยละ 11 ที่มีภาวะนี้ รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มประมาณขึ้นเป็นร้อยละ 15 ในปี พ.ศ. 2563 หรือในอีก 9 ปีข้างหน้า ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้มีผู้ป่วยที่เป็นโรคความจำเสื่อม เพิ่มมากขึ้น เพราะปกติแล้วร้อยละ 10-15 ของคนที่มีภาวะหลงลืมที่ไม่รุนแรงจะกลายเป็นโรคความจำเสื่อมในที่สุด และหนึ่งในโรคความจำเสื่อมที่พบมากที่สุดก็คือโรคอัลไซเมอร์
นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมยังมีอายุน้อยลงด้วย จากสมัยก่อนที่ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมมักจะมีอายุ 70-80 ปี แต่ปัจจุบันผู้ป่วยเฉลี่ยจะมีอายุ 60 ปีปลายๆ
“ด้วยเหตุนี้จึงขอแนะนำให้คนที่สงสัยว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องความจำมาปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เพื่อเฝ้าระวัง หรือรับการรักษาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะสามารถชะลอการเป็นโรคความจำเสื่อมได้”
2.ใส่ใจอาการซึมเศร้า
คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 9-10 ปี ในการพัฒนาจากอาการหลงลืมไปสู่โรคความจำเสื่อม และในระหว่างนี้ก็มีสัญญาณของโรคความจำเสื่อมให้สังเกตเห็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออาการซึมเศร้า เพราะปัจจุบันมีการพบหลักฐานว่าผู้ป่วยมักมีอาการซึมเศร้า หรือเป็นโรคซึมเศร้านำมาประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในที่สุด ดังนั้นหากพบว่าผู้สูงอายุในบ้านเริ่มมีอาการซึมเศร้าก็ควรรีบหาทางแก้ไข ด้วยวิธีการต่อไปนี้
อย่าปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างเดียวดาย เนื่องจากปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมแยกไปอยู่ตามลำพังเป็นครอบครัวเล็กๆ ทำให้ผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ต้องใช้ชีวิตกันตามลำพังมากขึ้น ดังนั้นหากไม่หมั่นไปเยี่ยมเยียน ลูกหลานก็จะไม่มีโอกาสสังเกตเห็นอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยสำคัญตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทำให้กว่าจะทราบว่าผู้สูงอายุเป็นโรคความจำเสื่อมก็มีอาการมากแล้ว ที่สำคัญการใช้ชีวิตกันตามลำพังยังทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่เงียบเหงา ขาดการทำกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิต หรือเพิ่มความกระฉับกระเฉงให้กับร่างกาย สมอง และจิตใจ ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ผู้สูงอายุจะเป็นโรคความจำเสื่อมมากขึ้น
อย่าให้การสื่อสารล้มเหลว คนรุ่นใหม่มักจะให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสารไฮเทคอย่างสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ มากกว่าคนที่อยู่รอบๆ ตัว ตรงข้ามกับผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารยุคใหม่ เนื่องจากใช้ไม่เป็น หรือใช้ไม่ได้เพราะมองไม่เห็น เพราะตัวหนังสือมีขนาดเล็ก ดังนั้นหากลูกหลานในบ้านมัวแชท เล่นบีบี ก็จะทำให้ผู้สูงอายุที่อยู่ภายในบ้านเกิดความรู้สึกแปลกแยกหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง เพราะไม่มีใครคุยด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยสุงสิง ไม่อยากดูทีวี ไม่อ่านหนังสือ นั่งเฉยๆ และเริ่มแยกตัว อันเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคความจำเสื่อมดังได้กล่าวไปแล้ว ฉะนั้นหากลูกหลานสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ก็ควรหันมาให้ความสนใจ ให้เวลา หรือพาไปเที่ยวนอกบ้าน พาไปเยี่ยมญาติ เยี่ยมเพื่อน เพราะการได้เจอะเจอกับผู้คนจะช่วยให้อาการหงอยเหงาซึมเศร้าดีขึ้น
ถึงแม้ว่าการพูดคุยจะช่วยให้คลายเหงาได้ แต่การพูดคุยกับผู้สูงอายุก็ต้องมีเทคนิคที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วอาจทำให้ผู้สูงอายุเกิดอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาแทน โดยควรพูดด้วยประโยคสั้นๆ ก็อาจจะทำให้ผู้สูงอายุลืมไปแล้วว่า ต้นประโยคที่เราพูดไปคืออะไร และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุบางคนถามเรื่องเดิมซ้ำๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกหลานพูด จึงต้องจำไว้ว่าการสื่อสารกับผู้สูงอายุต้องสั้น กระชับ ได้ใจความ
3.ใส่ใจพันธุกรรม
ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ มักจะมีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้มาก่อน ฉะนั้นคนที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นอัลไซเมอร์แล้วสงสัยตัวเองว่าจะเป็นหรือไม่ ก็อาจจะต้องไปปรึกษาแพทย์ ตั้งแต่ตอนอายุ 40 ปีกว่าๆ เพราะวิทยาการแพทย์ปัจจุบันสามารถบอกได้ว่าคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่จากการตรวจเลือด ซึ่งหากพบยีนแอโพไลโปโปรตีน คุณก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์สูง
4.ใส่ใจในการบริหารสมอง
การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญในการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคความจำเสื่อม โดยในส่วนของการออกกำลังกายนั้นควรทำวันละ 30 นาที และควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ใช่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างการซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว นอกจากนี้การบริหารสมองเป็นประจำยังเป็นวิธีการช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมได้ดี โดยผู้สูงอายุสามารถบริหารสมองด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
การท่องบทสวดมนต์ นอกจากการท่องบทสวดมนต์จนจำได้จะเป็นการฝึกสมองแล้ว เสียงสูงๆ เสียงต่ำๆ จากการสวดมนต์ยังทำให้สมองทำงานได้ดีด้วย รวมถึงทำให้เกิดสมาธิ
การร้องเพลง เสียงสูงๆ ต่ำๆ จากบทเพลงจะส่งผลให้สมองทำงานได้ดีเช่นเดียวกับการสวดมนต์
การฝึกความจำด้วยการหาความสัมพันธ์ อย่างเช่น หากมีคนแนะนำให้รู้จักกับคนใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเราควรจะฝึกจำชื่อของเขาด้วยการหาความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ เช่น คุณราตรีมีคิ้วแบบนี้ ครั้งหน้าถ้าเราเจอคนคิ้วแบบนี้ก็จะจำได้ว่าคือคุณราตรี หรือถ้าเจอป้ายโฆษณาก็อาจจะต้องหาว่าป้ายนี้มีอะไรแปลกๆ ที่น่าจดจำนอกจากชื่อสินค้า ซึ่งการฝึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นการช่วยฝึกสมองในชีวิตประจำวันที่ดี
5.ใส่ใจความสะอาดและปลอดภัย
สำหรับการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ผู้ดูแลควรให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย โดยในส่วนของความสะอาดนั้นควรเน้นเรื่องความสะอาดรอบๆ ตัว และความสะอาดของร่างกาย เพราะผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มักจะเสียชีวิตจากโรคอื่นๆ เช่น ติดเชื้อในปอด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ น้ำท่วมปอด สำหรับเรื่องความปลอดภัย ก็อย่างเช่นการปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้มีความปลอดภัยมากที่สุด เช่น การหุ้มขอบโต๊ะ ขอบเตียงให้ให้ไม่มีเหลี่ยม มุม เพื่อลดความรุนแรงหากผู้ป่วยหกล้ม ปรับพื้นให้เรียบ เพื่อป้องกันการหกล้ม รวมถึงระวังเรื่องสวิทซ์ไ ของร้อน ของมีคม เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายโดยไม่คาดฝัน และหากต้องพาผู้ป่วยออกจากบ้าน เช่น ไปพบแพทย์ ก็ต้องดูแลไม่ให้ผู้ป่วยพลัดหลง และควรต้องเขียนชื่อเบอร์โทรศัพท์ของญาติใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของผู้ป่วย เพื่อคนที่พบเห็นจะได้ติดต่อญาติได้
6.ใส่ใจดูแลตนเอง
ข้อนี้เป็นคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยอับไซเมอร์ ซึ่งมักมีอาการ 3 อย่างคือ ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวน และพฤติกรรมที่คาดไม่ถึง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ดูแลอาจจะเกิดความเครียดได้ ดังนั้นผู้ดูแลจึงต้องประเมินดูว่า ตัวเองสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็ต้องหาคนช่วย หรือไปปรึกษาแพทย์เพื่อขอวิธีการแก้ไข
7.ใส่ใจในการตรวจคัดกรอง
ปัจจุบันตามโรงพยาบาลจะมีแบบทดสอบเพื่อให้ในการคัดกรองว่าผู้ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมหรือไม่