<h3>เผยสถิติน่าเศร้า คนไทยฆ่าตัวตายปีละเกือบ 4 พันรายและผู้ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นชายมากกว่าหญิง สาเหตุมีทั้งเกิดจากโรคซึมเศร้าไบโพลาร์ เครียด มีปัญหาเศรษฐกิจ จิตแพทย์ห่วงคนก๊อบปี้วิธีฆ่าตัวตาย วอนสื่อเสนอภาพกว้างเน้นหาทางออกจากปัญหา แนะหากพบคนรอบข้างมีปัญหาคิดฆ่าตัวตายควรช่วยเหลือปลอบโยนให้กำลังใจ</h3> <!--more--> <h3>นับเป็นสถิติที่น่าเศร้าและสะเทือนใจ ที่ใน 10 ปีมีคนไทยกระทำอัตวินิบาตกรรม อำลาโลกไปกว่า 4 หมื่นราย โดย นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต เปิดเผย.ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยฆ่าตัวตายประมาณเกือบ 40,000 ราย ตัวเลขการฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 340 รายต่อเดือน ในจำนวนนี้เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง ประมาณ 4 เท่า สำหรับการฆ่าตัวตายด้วยวิธีการที่พบถี่ขึ้นดังเช่นที่เป็นข่าวในช่วงนี้ เป็นรูปแบบที่พบได้น้อยมาก คิดเป็นเพียงประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ของการฆ่าตัวตายทั้งหมด เฉลี่ยแล้วจะมีคนใช้วิธีการนี้เพียง 3-6 รายต่อปี</h3> <h3>นพ.วรตม์ กล่าวอีกว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของการฆ่าตัวตาย คือ อาจมีโรคทางจิตเวชที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือควบคุมอาการไม่ได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรคทางอารมณ์เหล่านี้ให้ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากขึ้นถึง 20 เท่าเทียบกับในคนทั่วไป ส่วนปัจจัยอื่นๆก็พบได้ เช่น การดื่มสุราและการใช้สารเสพติดก็มีส่วนทำให้เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเครียด ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น โรคทางกายเรื้อรัง การ ติดการพนัน ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ส่วนการทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการกระทำด้วยความหุนหันพลันแล่นก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่พบได้อยู่บ่อยครั้งเช่นกัน</h3> <h3>โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า สำหรับการปฏิบัติตัวเพื่อให้ตัวเองห่างไกลจากความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเอง ประชาชนควรหมั่นสำรวจความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้างอย่างสม่ำเสมอ คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เป็นผู้รับฟังที่ดี หากพบความผิดปกติ เช่น ความเบื่อหน่าย ซึมเศร้า ท้อแท้ หรือมีความรู้สึกอยากตาย ควรรีบเข้ารับการประเมินและความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิต นอกจากนั้นยังสามารถรับ คำปรึกษาได้จากสายด่วนสุขภาพจิต 1323</h3> <h3>นพ.วรตม์ กล่าวต่อด้วยว่า การนำเสนอข่าวในส่วนนี้จึงต้องอาศัยความระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากการเสนอวิธีการ รูปแบบ หรืออุปกรณ์ โดยละเอียด อาจทำให้เกิดการฆ่าตัวตายเลียนแบบได้ง่ายมากขึ้น สื่ออาจช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตาย ด้วยการเสนอเป็นภาพกว้างๆ ของเหตุการณ์ โดยเน้นไปในเรื่องแนวทางการรักษาเยียวยาจิตใจของครอบครัวและคนรอบข้าง รวมไปถึงควรเพิ่มการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในด้านสุขภาพจิต เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยลงและเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตมากขึ้นแทน ประชาชนที่รู้สึกไม่สบายใจกับการเสพข่าวดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความวิตกกังวล หรือใช้โอกาสนี้ในการสำรวจความรู้สึกและสุขภาพจิตของคนในครอบครัว เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต</h3> <h3 style="text-align: center;"><a href="https://katipnews.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2/">(อ่าน :รู้ก่อนสาย “โรคซึมเศร้า” กับการเอาชีวิตรอด!)</a></h3> <h3>ที่มา: สสส.</h3>