เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม. ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เสนอ เพื่อเป็นมาตรการคุ้มครอง สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาททางด้านเศรษฐกิจ ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชายในการเลี้ยงดูบุตร สร้างกลไกการพัฒนาเด็ก เพื่อลดภาระให้กับผู้หญิงที่ทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ที่ไทยเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี
มาตรการดังกล่าว ครอบคลุม 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มแรงงานหญิงทั้งในระบบและนอกระบบ 17,366,400 คน กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว 1,061,082 คน และกลุ่มผู้หญิงสูงอายุที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็ก 379,347 คน โดยจะมี 3 ส่วนหลัก คือ 1.จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ให้ขยายบริการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้รับอายุ 0-3 ปี และขยายเวลาเปิด–ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้สอดคล้องกับเวลาทำงานของผู้ปกครองในแต่ละพื้นที่
2.ส่งเสริมการลาของสามี ที่เป็นข้าราชการชาย ช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด โดยให้มีสิทธิ์ลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา จากเดิมให้ลาครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ ไม่เกิน 15 วันทำการ
3.ขยายวันลาคลอดของแม่ ที่เป็นข้าราชการหญิง ซึ่งระเบียบเดิม ลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 90 วัน และหากประสงค์ลากิจเพื่อเลี้ยงดูบุตร ให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำการ โดยไม่ได้รับเงินเดือน แต่มาตรการใหม่ สามารถลาคลอดบุตรได้ 98 วัน (เพิ่มขึ้นจากเดิม 8 วัน) โดยได้รับค่าจ้าง และสามารถลาเพิ่มได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนร้อยละ 50 ของเงินเดือน รวมวันลาคลอดทั้งสิ้น 188 วัน หรือประมาณ 6 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่องค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติระบุว่า ควรให้บุตรได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด
น.ส.รัชดา กล่าวว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการนี้คือ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงด้านการจ้างงาน ทำให้เกิดนโยบายที่มีลักษณะเป็นมิตรกับผู้หญิง สร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศ และส่งเสริมให้สามีมีส่วนร่วมดูแลบุตร รวมถึงปรับเปลี่ยนจำนวนวันลาคลอดของข้าราชการให้เท่ากับภาคเอกชน และสนับสนุนนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลกที่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน
ทั้งนี้ ครม. ให้ พม.รับข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหาข้อสรุปที่ชัดเจน ก่อนเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) และหน่วยงานกลางบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนราชการต่างๆ ดำเนินการปรับแก้ระเบียบต่อไป
ข้อมูลข่าวจาก ข่าวสด