นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ ( 2 ก.ค. 63) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 1/2563 ซึ่งนายจุรินทร์ได้มีข้อกังวลถึงครอบครัวที่มีเด็กเล็กเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มากกว่าครอบครัวที่ไม่มีเด็กเล็ก เพราะรายจ่ายในครอบครัวมีเพิ่มขึ้น จากเหตุศูนย์เลี้ยงดูเด็กเล็กและโรงเรียนปิด มีค่าใช้จ่ายในการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันไวรัสและผู้ปกครองมีรายได้ลดลง/ขาดรายได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะมีผลต่อการดูแลเด็กให้ได้รับอาหารและการตรวจสุขภาพที่เหมาะสม
ในส่วนวาระสำคัญที่ที่ประชุมเห็นชอบคือ เห็นชอบในหลักการการให้เงินอุดหนุน (600บาท/เดือน) เด็กอายุ 0-6ปี แบบถ้วนหน้า เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป จากที่ปัจจุบันให้เงินอุดหนุนแก่เด็กเฉพาะครอบครัวที่มีฐานรายได้เฉลี่ยของสมาชิกในครัวเรือน ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน/ปี การเสนอให้จ่ายแบบถ้วนหน้านี้ เพื่อแก้ปัญหาการตกหล่นของเด็กจากครอบครัวยากจนที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการ ที่มีสูงถึง30% ด้วยเหตุเพราะ กระบวนการคัดเลือกมีความยุ่งยาก การตัดสินใจว่าใครจนไม่จนโดยเจ้าหน้าที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง การเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องคุณสมบัติผู้มีสิทธิ อีกทั้ง ยังพบว่า คนที่ยิ่งจนกลับเป็นผู้ที่ไม่ได้สมัคร บางคนคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิ บางคนเตรียมเอกสารไม่ครบ โดยการจ่ายเงินอุดหนุนแรกเกิดแบบถ้วนหน้า จะสามารถดูแลเด็กวัย 0-6ปี จำนวน 4.1 ล้านคน ในปี 2565 เพิ่มจาก 1.99 ล้านคน ที่จ่ายแบบปัจจุบันด้วยเกณฑ์รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยไม่เกิน 1 แสนบาท ทั้งนี้จำนวนเด็กจะค่อยๆลดลงเนื่องจากเด็กเกิดน้อยลง ทำให้มีที่ต้องจ่ายแบบถ้วนหน้า ประมาณ 3.8 ล้านคน ในปี2570
ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้า โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และทำแผนการดำเนินงาน/งบประมาณกลับมาเสนอคณะกรรมการ กดยช. อีกครั้งก่อนเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
“นายจุรินทร์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่า การให้เงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้าจะเป็นหลักประกันรายได้ เพื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวที่มีเด็กเล็กในประเทศไทยจะสามารถหาสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กได้อย่างต่อเนื่องทั้งด้านอาหารและการเดินทางไปสถานพยาบาล รวมถึงเป็นการรองรับครอบครัวคนจนใหม่ ที่จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลกระทบจากโควิด19” นางสาวรัชดา กล่าว